I was always right there

 

ที่มาจากการอินเพลง Dancing on my own ของ Calum Scott ค่ะ

ฟังแล้วแบบมีความ Drarry เล่ม 6 สูงมากกกก ฟิคนี้เลยแต่งตามหนังสือเล่ม 6 + บางฉากในหนังและลำดับสลับไปมาตามที่นึกออกค่ะ มันเลยมีความมั่วอยู่บ้าง เพราะเราเรียงไทม์ไลน์ตามเนื้อเพลงไม่ใช่ตามฉากในหนังหรือหนังสือ

ถ้าอ่านแล้วเข้าใจก็จะดีใจมาก ยิ่งถ้าชอบก็จะดีใจมากกว่าเดิมอีกค่ะ ❤

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ

______________________________________________________

บ้าเอ๊ยผมได้ยินเสียงเขาสบถอยู่ฝั่งตรงข้ามของกำแพง เขากรีดร้องพร้อมกับทุบกำแพงแรงๆต่อเนื่องกันหลายต่อหลายครั้ง

ชั้นรู้ว่านายอยู่ในนั้น!” เขาตะคอก

เขาคงกำลังคิดว่าผมจะตกใจ และแปลกใจมากที่เขารู้ความลับของผม แต่ไม่เลย ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องรู้ เป็นเขามาตลอด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตามที่ฮอกวอตส์จะต้องเป็นเขา ฮีโร่ของโรงเรียนที่ช่วยกู้สถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ เรื่องน่าขำก็คือก่อนหน้านี้สิ่งที่เขาทำคือพยายามจะหลีกหนีผม มองผมด้วยสายตารังเกียจ และทำหน้าขยะแขยงเมื่อเจอผมโดยบังเอิญไม่ว่าที่ใดก็ตาม และถ้าไม่จำเป็น เขามัจะเดินหนีไปด้วยแววตาเย็นชาเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับพยายามอย่างมากที่จะเข้าถึงตัวผมให้ได้ เขาคอยเดินตามผมเวลาที่ผมต้องการจะหนี

กระทั่งตอนนี้ก็เช่นกัน

ออกมา! มัลฟอย” เขาตะโกนลั่น

เบื้องหน้าของเขาคือกำแพงว่างเปล่าก็จริง แต่ฝั่งผมเป็นประตูบานใหญ่ เราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ แต่ถ้าผมไม่ได้อนุญาต เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ ในห้องต้องประสงค์ที่ผมซ่อนความลับเอาไว้

และตอนนี้ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดประตูออกไป

Somebody said you got a new friend
Does she love you better than I can
There’s a big black sky over my town

โชแชงไง ซีเกอร์ของบ้านเรเวนคลอผมได้ยินเสียงนักเรียนผู้หญิงของสลิธีรินคุยกัน ปกติผมจะเดินผ่านพวกเธอไป เพียงแต่บทสนทนาในวันนี้ค่อนข้างจะน่าสนใจเป็นพิเศษ

ใช่ ส่วนกรฟฟินดอร์น่ะ ก็จินนี่ วิสลี่ย์ ทั้งคนเก่าคนใหม่ เป็นศึกที่เดือดมากเลย” แล้วพวกเธอก็หัวเราะกันไม่หยุด

คนเก่า คนใหม่?

ของใครกัน?

พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน” แม้ผมจะใช้คำพูดห้วนแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งกับเด็กในบ้านสลิธีรินเท่าไรนัก เพราะปกติพวกเราก็ใช้คำหยาบคายเป็นเรื่องปกติ

อ๋อ นายไม่อยู่ตอนแมทต์ที่กริฟฟินดอร์แข่งกับเรเวนคลอใช่มั้ยล่ะ รู้มั้ยว่าใครเป็นซีกเกอร์ของกริฟฟินดอร์เป็นคำถามที่ตลกมากสำหรับผม

จินนี่ วิสลีย์” แต่คำตอบกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคาดไว้

นี่นายไม่รู้หรอว่าพอตเตอร์โดนทำโทษเลยไม่สามารถลงเล่นได้น่ะ” ผมไม่ตอบเธอ เพราะมีอะไรบางอย่างกวนใจผมอยู่ ถ้าแบบนั้นสิ่งที่ผู้หญิงกลุ่มนี้คุยกันก่อนหน้านี้ก็คือ…

นายคิดดู โชซีกเกอร์แฟนเก่า กะจินนี่ แฟนใหม่ เป็นแมตท์ที่ขำสุดๆไปเลยล่ะ ฮะฮะฮ่า”

เธอเห็นหน้าโชตอนที่จินนี่จับลูกสนิฟได้รึเปล่า…”

ผู้หญิงกลุ่มนั้นยังคงคุยกันต่อไปเรื่อยๆ แต่เสียงของพวกเธอค่อยๆไกลออกไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกเธอพูดถึงใคร ผมออกเดินมาเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเดินไปที่ไหน รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดที่อ่างล้างมือในห้องน้ำแห่งหนึ่ง ข้อมือจับที่อ่าง กำแน่นจนข้อนิ้วปวด ผมเปิดให้น้ำไหลออกมา เอามือไปรองเพียงหวังว่าน้ำเย็นจัดจะช่วยลดอารมณ์ที่พลุกพล่านในใจได้

เนิ่นนานราวกับชั่วนิรันดน์

พอแล้ว เดรโก นายจะไม่เป็นไร” ผมพูดกับตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นจากอ้างล้างมือ แต่ภาพสะท้อนในกระจกไม่ได้บอกผมแบบนั้น

ผมเห็นตาสองข้างที่แดงจัดของผม กับน้ำตาที่ยังคงไม่หยุดไหล

คงจะมีแค่ซีกเกอร์ของบ้านสลิธีรินล่ะมั้งที่นายไม่เคยสนใจ

I’m in the corner watching you kiss her

And I’m right over here. Why can’t you see me?

วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังพยายามจะซ่อมตู้อันตธานอยู่นั้น ประตูห้องต้องประสงค์ก็เปิดออก ผมรีบหาที่หลบทั้งที่หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมา

เขาเป็นใคร?

เวลาผ่านไปผมได้ยินเสียงฝีเท้า แต่มากกว่าหนึ่งคนเดินวนไปมาจนใกล้จะถึงที่ที่ผมซ่อนอยู่

ตรงนี้ จินนี่” เสียงนั่นคุ้นหูจนผมเผลอโผล่หน้าออกไป และสิ่งที่ผมเห็นก็คือจินนี่ วิสลี่ย์กับเขากำลังจูบกัน

ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ผมเห็นสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน เขาดูมีความสุขมากกว่าที่ผมเคยเห็นมาตลอด 6 ปี

คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกเศร้าเหมือนกับความสุขทั้งหมดในโลกใบนี้จะหายไป แต่จะว่าไปก็เป็นเขาทั้งนั้น ที่ทำให้ผมต้องเจอกับความรู้สึกหลากหลายเหล่านี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นความอิจฉา ความโกรธ ความแค้น และตอนนี้ เขาก็ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าเสียใจ…

And I’m giving it my all
But I’m not the guy you’re taking home

ผมกลับมาที่ห้องน้ำแห่งนั้นอีกครั้ง ที่ที่จะไม่มีใครหาผมเจอ ที่ที่ผมจะไม่ต้องเล่นละครเป็นใคร และไม่ต้องแกล้งทำตัวเข้มแข็งเพื่อใคร ผมสามารถร้องไห้นานแค่ไหนก็ได้โดยไม่มีใครรู้ผมสามารถเป็นคนอ่อนแอได้ โดยไม่โดนใครเหยียดหยาม 

แต่สิ่ที่ต่างออกไปคือครั้งนี้ผมเห็นเงาของเขาในกระจก แค่แว่บเดียวก่อนที่ผมจะหันไปเผชิญหน้ากับเขา

ถ้าผมเจ็บ นายก็ต้องเจ็บเหมือนกัน

ผมเลือกที่จะหันไม้กายสิทธิ์ใส่เขา พวกเราสู้กัน

ทั้งที่ผมตัดสินใจว่าจะทำร้ายเขา ให้เขาเจ็บปวดให้สาสมกับที่ผมต้องเจ็บ

เซ็กตัมเซมปร้า!”

แต่สุดท้ายก็กลายเป็นผมเองที่ล้มลง กลายเป็นผมอีกครั้งที่พ่ายแพ้ กลายเป็นผมเองที่ต้องนอนร้องไห้อย่างปวดร้าวอยู่เพียงลำพัง

 

 

 

So far away
But still so near
The lights come on
The music dies

 

 

คืนสุดท้ายในฮอกวอตส์ของผมเลวร้ายมาก ไม่มีงานเลี้ยงฉลอง ไม่มีการอำลา มีแต่ความตายของพ่อมดแก่ชราที่แสนโง่เง่าคนหนึ่งผู้ซึ่งเลือกที่จะมอบความเมตตาแสนไร้ค่าให้กับผม ผมไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว ทั้งความเมตตา ความใจดีของใครต่อใคร ต่อไปนี้ผมจะแค่เอาชีวิตตัวเองให้รอดเท่านั้น ไม่ผูกพันธ์กับใคร เดินไปตามทางที่เหมือนจะถูกลิขิตไว้ให้ผมตั้งแต่ต้น

ผมคิดก่อนจะก้าวเดินออกไปสู่อีกเส้นทางหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับเขาคนนั้นอย่างสิ้นเชิง และถ้าผมก้าวออกไปแล้ว จะไม่มีวันหันหลังกลับได้อีก

แสงสว่างสุดท้ายในชีวิตค่อยๆดับลง ผมมองไม่เห็นแสงอะไรอีกแล้วไม่มีอะไรจะฉุดรั้งผมไว้ได้อีกแล้ว

ผมจะลืมมันให้หมด ทุกความทรงจำ ทุกความรู้สึก

ลาก่อนฮอกวอตส์

ลาก่อนความรัก

ลาก่อน

I was always right there, but not anymore

ก้าวลงสู่ความมืดมดชั่วนิรันดร์

122818507.jpg

Leave a comment